นักวิจัยชี้ แอปบน iOS ปลอดภัยมากกว่า Android
แม้จะมีคำกล่าวว่าความปลอดภัยของ Android นั้นขยับมาเท่า ๆ กับ iOS แล้ว แต่ในความเป็นจริง ผลจากนักวิจัยชี้ชัดว่าแอปบน iOS ยังมีความปลอดภัยมากกว่า Android อยู่ดี
เออร์เนสต์ เนพริส (Ernestas Naprys) จาก Cybernews หรือสื่อออนไลน์ที่รายงานเกี่ยวกับภัยคุกคามและช่องโหว่ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ได้ทำการทดติดตั้งแอป 100 อันดับแรกใน App Store ของเยอรมันบน iPhone รุ่นใหม่และจาก Play Store บนสมาร์ตโฟน Android รุ่นใหม่ จากนั้นเนพริสก็เลือกไม่ใช้งานอุปกรณ์ที่ทำการทดสอบ พร้อมกับสังเกตว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศบ่อยแค่ไหน รวมถึงตำแหน่งของเซิร์ฟเวอร์เหล่านั้นด้วย
จากการทดสอบปล่อยเครื่องทิ้งไว้เป็นระยะเวลา 5-6 วันพบว่า iPhone มีการส่งหรือเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอกเฉลี่ย 3,308 ครั้งต่อวัน ในขณะที่ Android มีการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์เพียง 2,323 ครั้งต่อวันเท่านั้น
แต่แค่จำนวนครั้งบอกได้หรือไม่ว่าปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย? เมื่อเทียบแล้ว การขอเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอกของ iPhone นั้น กว่า 60% เป็นการขอเชื่อมต่อไปที่ Apple ในขณะที่ฝั่ง Android มีเพียง 24% เท่านั้นที่มีการเชื่อมต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์ของ Google ที่เหลือเป็นการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบุคคลที่ 3 ทั้งหมด
ยกตัวอย่างจากการทดสอบนี้ iPhone มีการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ในรัสเซียเพียง 1 ครั้งต่อวัน ในขณะที่อุปกรณ์ Android มีการเชื่อมต่อกับรัสเซียมากถึง 13 ครั้งต่อวัน ส่วนจีนนั้น iPhone ไม่มีการขอเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในประเทศจีนเลย ในขณะที่ Android มีการขอเชื่อมต่อถึง 5 ครั้งต่อวัน
iPhone ในแง่ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ในการทดสอบพบว่า iPhone เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ Facebook โดยเฉลี่ย 20 ครั้งต่อวัน เทียบกับเกือบ 200 ครั้งต่อวันสำหรับ Android ส่วนแอปยอดนิยมอย่าง TikTok นั้น iPhone มีการเชื่อมต่ออยู่ที่ 36 ครั้งต่อวัน และถึงแม้จะไปถึงเซิร์ฟเวอร์ ByteDance ที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในจีน ส่วนอุปกรณ์ Android มีการเชื่อมต่อมากถึง 800 ครั้งต่อวัน
การทดสอบนี้บ่งบอกอะไร?หากแอปมีการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่ในจีนหรือรัสเซีย นั่นหมายความว่าข้อมูลของผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงได้โดยหน่วยงานต่าง ๆ ในประเทศเหล่านั้น อย่างเช่นภาครัฐเป็นต้น
ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่ Apple ตั้งกฏในการพัฒนาแอปที่เข้มงวดกว่า Apple มีนโยบายมากมายเพื่อจำกัดข้อมูลที่นักพัฒนาสามารถเข้าถึงได้ การใช้งานระบบปิดเป็นแนวทางที่ Apple ใช้อย่างเรื่อยมา เหล่าผู้บริหารระดับสูงจึงแสดงความกังวลทุกครั้งว่าหากมีการปรับเป็นระบบเปิดจะทำให้ความปลอดภัยน้อยลง
หากใครใส่ใจเรื่องความเป็นส่วนตัวมากเป็นพิเศษ ทางแหล่งที่มาก็แนะนำให้พิจารณาเรื่องระบปฏิบัติการให้ดีด้วยครับ
เครดิตแหล่งข้อมูล :beartai